ทำไมดื่มเหล้าแล้วถึงหน้าแดง?
หลายคนคงเคยสังเกตเห็นว่า เมื่อดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไปสักพักใบหน้าจะเริ่มแดงขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นสีแดงก่ำ อาการนี้เกิดจากอะไร และมีความเกี่ยวข้องกับสุขภาพอย่างไร?
เมื่อเราดื่มแอลกอฮอล์เข้าไป ร่างกายจะผลิตเอนไซม์ชนิดหนึ่งชื่อ ALDH2 (Aldehyde Dehydrogenase 2) ทำหน้าที่ย่อยสลายแอลกอฮอล์ให้เป็นสารที่ไม่เป็นอันตราย แต่ในบางคนร่างกายอาจผลิตเอนไซม์ชนิดนี้ได้ไม่เพียงพอ หรือมีการทำงานผิดปกติ ทำให้แอลกอฮอล์ถูกย่อยสลายไม่หมด เกิดเป็นสารพิษชื่อ อะซิทัลดีไฮด์ สะสมในร่างกาย ทำให้เกิดอาการหน้าแดง หัวใจเต้นเร็ว คลื่นไส้ และอาการอื่นๆ ตามมา
ดื่มเหล้าแล้วหน้าแดง เสี่ยงมะเร็งจริงหรือ?
การศึกษาหลายชิ้นพบว่า คนดื่มเหล้าแล้วหน้าแดง มีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งหลอดอาหาร สูงกว่าคนที่ดื่มเหล้าแล้วไม่หน้าแดง และสูงกว่าคนที่ไม่ดื่มเหล้ามากถึง 89 เท่า เหตุผลก็คือ สารอะซิทัลดีไฮด์ที่สะสมอยู่ในร่างกาย เป็นสารก่อมะเร็งชนิดหนึ่ง และเมื่อสะสมในปริมาณมากเป็นเวลานาน ก็อาจทำให้เกิดการกลายพันธุ์ของเซลล์ และนำไปสู่การเกิดมะเร็งได้
ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง
นอกจากการดื่มเหล้าแล้วหน้าแดงแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งได้ เช่น
- การสูบบุหรี่: การสูบบุหรี่ร่วมกับการดื่มแอลกอฮอล์ จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งหลายชนิด
- พันธุกรรม: ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็ง จะมีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไป
- พฤติกรรมการกิน: การรับประทานอาหารที่มีรสเค็มจัด หมักดอง หรือรมควัน ก็เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งได้
- การติดเชื้อ: เชื้อไวรัสบางชนิด เช่น ไวรัสตับอักเสบ บี และ ซี ก็เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับ
วิธีป้องกัน
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์: วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันคือการงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด
- ตรวจสุขภาพเป็นประจำ: การตรวจสุขภาพเป็นประจำจะช่วยให้พบความผิดปกติได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์: การรับประทานผัก ผลไม้ และธัญพืช จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: การออกกำลังกายช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ รวมถึงมะเร็ง
สรุป
การดื่มเหล้าแล้วหน้าแดง เป็นสัญญาณเตือนว่าร่างกายไม่สามารถย่อยสลายแอลกอฮอล์ได้อย่างสมบูรณ์ และมีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งสูง ดังนั้น การเลิกดื่มเหล้าจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันโรคมะเร็ง และดูแลสุขภาพในระยะยาว
