March 16, 2025
โรคต้อกระจก
โรคต้อกระจก (Cataract) เป็นโรคที่เกิดจากความเสื่อมของเลนส์แก้วตา ทำให้เลนส์ตาขุ่นมัว บดบังแสงที่ผ่านเข้าไปในตา ส่งผลให้การมองเห็นลดลง

โรคต้อกระจก (Cataract) เป็นโรคที่เกิดจากความเสื่อมของเลนส์แก้วตา ทำให้เลนส์ตาขุ่นมัว บดบังแสงที่ผ่านเข้าไปในตา ส่งผลให้การมองเห็นลดลง พบมากในผู้สูงอายุ และเป็นสาเหตุหลักของภาวะตาบอดในผู้สูงอายุทั่วโลก

สาเหตุของโรคต้อกระจก

  • อายุ: เป็นสาเหตุหลักของโรคต้อกระจก เมื่ออายุมากขึ้น เลนส์แก้วตาจะเสื่อมสภาพและขุ่นมัว
  • พันธุกรรม: ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นต้อกระจก มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคนี้
  • โรคประจำตัว: เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง
  • การใช้ยาบางชนิด: เช่น สเตียรอยด์
  • การได้รับรังสี UV: การสัมผัสแสงแดดเป็นเวลานานโดยไม่สวมแว่นกันแดด
  • การบาดเจ็บที่ดวงตา: การบาดเจ็บที่เลนส์แก้วตาอาจทำให้เกิดต้อกระจกได้

อาการของโรคต้อกระจก

  • มองเห็นภาพมัว: เหมือนมีหมอกมาบัง
  • มองเห็นแสงไฟกระจาย: โดยเฉพาะในเวลากลางคืน
  • มองเห็นภาพซ้อน:
  • การมองเห็นในที่สว่างลดลง:
  • การมองเห็นสีเพี้ยนไป:
  • ต้องเปลี่ยนแว่นตาบ่อยๆ:

การวินิจฉัยโรคต้อกระจก

จักษุแพทย์จะทำการตรวจตาอย่างละเอียด เพื่อวินิจฉัยโรคต้อกระจก โดยการตรวจดังนี้

  • การตรวจวัดสายตา: เพื่อดูว่าการมองเห็นลดลงหรือไม่
  • การตรวจเลนส์แก้วตา: โดยใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องตรวจเลนส์แก้วตา
  • การตรวจจอประสาทตา: เพื่อดูว่ามีโรคอื่นๆ ที่จอประสาทตาหรือไม่

การรักษาโรคต้อกระจก

การรักษาโรคต้อกระจกที่ได้ผลดีที่สุด คือการผ่าตัด โดยจักษุแพทย์จะทำการผ่าตัดเอาเลนส์แก้วตาที่ขุ่นมัวออก และใส่เลนส์แก้วตาเทียมเข้าไปแทนที่

การป้องกันโรคต้อกระจก

  • สวมแว่นกันแดด: เมื่อต้องอยู่กลางแจ้ง
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์: โดยเฉพาะผักและผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง
  • ควบคุมโรคประจำตัว: เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่:
  • ตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ: โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป

สรุป

โรคต้อกระจกเป็นโรคที่สามารถรักษาได้ หากได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที การดูแลสุขภาพตาอย่างสม่ำเสมอ และการป้องกันปัจจัยเสี่ยงต่างๆ จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต้อกระจกได้